Logo Background RSS

Chevrolet Volt Concept

  • Written by admin No Comments Comments
    Last Updated: November 24th, 2008

    ฮือฮากันตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นต้นแบบ และยิ่งฮือฮามากขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา เพราะดันมีภาพคันจริงหลุดออกมาเผยแพร่ตามอินเตอร์เน็ต จนส่งผลให้จีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ไม่รออีกต่อไป ตัดสินใจนำคันจริงของเชฟโรเลต โวลต์ออกเปิดตัวให้ชาวโลกได้ยลโฉม ก่อนที่จะมีการวางตลาดขายจริงในปี 2010

    การเปิดตัวมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของจีเอ็ม และโวลต์ถือเป็นการพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่รูปแบบใหม่ของการเดินทางด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แบบปลั๊ก-อิน (Plug-in) และถือเป็นโปรดักต์ชันคาร์ที่ผลิตในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลกที่มากับการขับเคลื่อนรูปแบบใหม่นับจากการเปิดตัวของรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง หรือ Fuel Cell ในปี 2002 (แต่ ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้ก็ยังไม่สามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์)

    นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญคือ โวลต์เป็นรถยนต์ที่มาพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของพลังงานไฟฟ้าที่นำมาใช้กับรถยนต์ ด้วยการยกระดับตัวเอง ให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางไกลขึ้น (E-REV : Extended-Range Electric Vehicle)

    นั่นเท่ากับว่าปัญหาเดิมๆ ในเรื่องระยะทางของการใช้งานที่จีเอ็มเคยประสบกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของตัวเองอย่าง EV1 จนถึงขั้นถอนปลั๊กและยุบไลน์ผลิตไปเมื่อทศวรรษที่ 1990 สามารถหาทางออกได้แล้ว

    ตัวรถได้รับการออกแบบและปรับปรุงรูปลักษณ์มาจากต้นแบบที่เปิดตัวในปี 2006 และยึดรูปแบบตัวถังในสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตูเหมือนเดิม เพียงแต่มีการปรับปรุงรายละเอียดรอบคันให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงมากขึ้น และรองรับกับการบรรทุกทั้งคนและสัมภาระได้

    ส่วนไฮไลต์หลักของตัวรถเห็นจะหนีไม่พ้นขุมพลัง ซึ่งยึดรูปแบบเดียวกับต้นแบบที่เปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กับการสลับแนวคิดของเทคโนโลยีไฮบริด พร้อมกับปรับปรุงให้เหนือกว่า ที่บอกว่าเป็นอย่างนั้นก็เพราะ ส่วนประกอบของระบบยังมีเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่เหมือนกัน แต่สลับหน้าที่ในการทำงาน

    เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม.จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว โดยที่เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งใช้เชื้อเพลิงแบบ E85 จะทำหน้าที่เป็นตัวปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 220 เซลล์เพื่อชดเชยกับกระแสไฟฟ้าที่ถูกใช้ไฟในขณะเดินทาง ส่วนสมรรถนะในการขับเคลื่อนก็ไม่เป็นรองรถยนต์ปกติ เพราะสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

    ปัญหาในเรื่องระยะทางในการใช้งานที่เคยเป็นอุปสรรคชิ้นโตของรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นเก่าๆ ก็จะหมดไปทันที เพราะตราบใดที่เครื่องยนต์ยังทำงานในการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในระบบ ตัวรถก็ยังขับเคลื่อนต่อไปได้ ถ้าน้ำมันหมด ก็เข้าปั๊มเติม ไม่ต้องหาปลักเสียบและรอชาร์จอีกค่อนวันให้วุ่นวาย

    ดังนั้นเวลาเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมาแล้วเจอเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ข้างในแล้ว ก็อย่าตกอกตกใจคิดว่าจีเอ็มหลอกลวงว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่

    ส่วนที่ว่าเหนือชั้นกว่าก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ลูกค้าสามารถใช้งานรถยนต์รุ่นนี้โดยที่บิลล์ค่าน้ำมันไม่ขยับเลยก็ได้ นั่นเป็นเพราะตัวระบบถูกออกแบบให้ระยะทาง 65 กิโลเมตรแรกจะพึ่งพลังจากกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่ (ซึ่งถูกชาร์จจนเต็มเมื่อเจ้าของขับถึงบ้านหรือออฟฟิศแล้วเสียบปลั๊กชาร์จ) เพียงอย่างเดียว โดยที่เครื่องยนต์ไม่ถูกสตาร์ทขึ้นมา

    นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เดินทางด้วยระยะทางไม่เกินจากนี้แล้วพอถึงที่หมายก็เสียบปลั๊กชาร์จ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องยนต์เลย แต่ถ้าขับเกิน เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดเครื่องยนต์ก็จะทำหน้าที่ชาร์จกลับเข้ามาชดเชย โดยตัวเลขนี้มาจากค่าเฉลี่ยในการใช้รถยนต์ใน 1 วันของคนอเมริกัน

    จากข้อมูลของจีเอ็มระบุว่า โวลต์สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ด้วยการเสียบในบ้านที่ใช้ไฟ 120 โวลต์ทั่วไป หรือ 240 โวลต์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 3 ชั่วโมงสำหรับแบบแรกและ 8 ชั่วโมงสำหรับแบบหลัง ส่วนค่าใช้จ่ายในการใช้งานโวลต์จะอยู่ที่ประมาณ 27.20 บาท ต่อวัน (เมื่อคิดจากค่าไฟในสหรัฐอเมริกาที่ประมาณ 3.40 บาท ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง) ในการชาร์จแบตเตอรีให้เต็ม ซึ่งจีเอ็มคาดว่าการชาร์จไฟฟ้าของโวลต์มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการซื้อกาแฟดื่มต่อถ้วยด้วยซ้ำ และถ้าชาร์จ 1 ครั้งต่อวันในทุกวันตลอดทั้งปีจะใช้ปริมาณไฟฟ้าที่น้อยกว่าการใช้ไฟของตู้เย็นหรือตู้แช่หนึ่งตู้เสียอีก

    จากการประเมินของจีเอ็ม ค่าใช้จ่ายในการขับโวลต์อยู่ที่ 0.43 บาทต่อกิโลเมตร ถูกกว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ที่ 2.55 บาทต่อกิโลเมตร (คิดตามราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาที่แกลลอนละ 3.60 ดอลลาร์) หากคำนวนจากการใช้รถยนต์เฉลี่ย 65 กิโลเมตรต่อวัน หรือ 24,750 กิโลเมตรต่อปี สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 51,000 บาท ต่อปี

    ถ้าใช้โหมดไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด จะมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ใน 6 เท่าเมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมันทั่วไป นอกจากนี้ ถ้าเลือกชาร์จไฟในช่วงเวลาที่มีคนใช้ไฟน้อย ค่าไฟก็จะถูกลงด้วยเพราะค่าไฟในช่วงดังกล่าวจะถูกกว่าเวลาปกติ

    แน่นอนว่าราคายังไม่เปิดเผยและยังเป็นที่ถกเถียงว่าจีเอ็มจะสามารถกดให้ลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ คือ ประมาณ 30,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือไม่เกิน 1 ล้านบาทได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการอุดหนุนของภาครัฐในการช่วยเหลือทางด้านภาษีด้วย เพราะถ้าไม่ช่วยแล้วและจีเอ็มต้องขายในราคาแบบไม่ขาดทุนแล้ว ราคาจะขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 40,000-50,000 สหรัฐฯ หรือ 1.3-1.65 ล้านบาทเลยทีเดียว

    ข้อมูลจาก ผู้จัดการ Online